เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 เวลา 10:00 น. ณ KLOUD by KBank สยามสแควร์ กรุงเทพฯ นายสาธิต สาตรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท มัลติ อินโนเวชั่น นายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กส์แบง ทิออรี่ย์ จำกัด (Big Bang Theory) พร้อมด้วย นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
กลุ่มธุรกิจ Blockchain & Innovation Technologies บมจ.แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) ร่วมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว Big Bang Theory ภายใต้คอนเซ้ปต์ “Your Theory Your Journey”
นายสาธิต สาตรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท มัลติ อินโนเวชั่น (Mi Group) กล่าวว่า “Mi Group มีบริษัทในเครืออยู่หลายบริษัทซึ่งรวมถึง บริษัท บิ๊กส์แบง ทิออรี่ย์ จำกัด ด้วย และยังรวมถึงบริษัทด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และพลังงานที่ทำร่วมกับภาครัฐ การพัฒนาซอฟแวร์ แพลตฟอร์ม smart City และ Data แพลตฟอร์มด้านสุขภาพ”
“ส่วนด้านเมตาเวิร์สได้เริ่มทำเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ล้มลุกคลุกคลานเรียนรู้ตลาดมาพอสมควรจนถึงวันนี้ เรามองว่าตลาดเมตาเวิร์สเป็นตลาดที่จะสร้างธุรกิจใหม่ สร้างโลกใหม่ และสร้างแหล่งรายได้ใหม่ให้กับทุกคน ในวันนี้เราจึงมองว่าตลาดเมตาเวิร์สกลายเป็นตลาดที่หลายคนสนใจ โดยคาดว่า Big Bang Theory จะทำรายได้แตะ 100 ล้าน ภายในปี 2024
นายกิตติพงศ์ พฤกษอรุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ Blockchain & Innovation Technologies
บมจ. แอสเฟียร์ อินโนเวชั่นส์ (ASPHERE) กล่าวว่า “บริษัทได้ลงทุนกับบริษัท Big Bang Theory ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มที่นำ Metaverse มาให้บริการในรูปแบบ Metaverse As-a-service รายแรกของโลก โดยได้ลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 27% ของหุ้นในบริษัท ใช้งบประมาณในการพัฒนาโปรเจคประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่า Big Bang Theory จะทำรายได้ตามเป้ามากกว่า 50 ล้านบาทในปีนี้ และมีอัตราเติบโตของรายได้มากกว่า 100% ต่อปี อีกทั้งทำให้รายได้ของ AS เติบโตได้ 10-15% ตามเป้า ด้านเทคโนโลยี Metaverse เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชีวิตประจำวัน ประมาณมูลค่าการเติบโตของตลาดจากปี 2564 มีมูลค่าอยู่ที่ 58,500 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มเป็น 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2573 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 43.7% อย่างไรก็ตามบริษัทมอง Metaverse จะเป็นเครื่องมือทางการตลาดในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในอนาคตอาจเข้ามาแทนที่เว็บไซด์ และแบรนด์ต่างๆ จำเป็นต้องสร้างประสบการณ์แบบ immersive experiences ให้แก่ผู้บริโภค โดยสร้างการเชื่อมโยงระหว่างโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างทั่วถึง”
“ในความร่วมมือระหว่างบริษัท Big Bang Theory จะเป็นผู้พัฒนาระบบ Metaverse รวมถึงสร้างเหรียญ Token และ NFT สำหรับใช้ทำ CRM ให้ภายในเครือของ AS อย่างไรก็ตามในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะช่วยนำแพลตฟอร์ม Big Bang Theory ขยายตลาดออกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกจะสามารถเติบโตในตลาดต่างประเทศได้ไม่ยาก” นายกิตติพงศ์ กล่าวปิดท้าย
ด้านนายพงศ์วุฒิ ไพรไพศาลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กส์แบง ทิออรี่ย์ จำกัด (Big Bang Theory) เปิดเผยว่า “Big Bang เป็น 1 ในผู้นำด้านการพัฒนาระบบ Metaverse และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านบล็อกเชน โดยเราเป็นบริษัทในเครือของ Mi group ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการพัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน และ Metaverse “Big Bang Theory คือ Metaverse as a service ที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่มุ่งให้บริการแพลตฟอร์มเมตาเวิร์ส โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม หรือโค้ดดิ้ง ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะเป็นระบบที่ช่วยสร้างโลกเสมือนให้กับธุรกิจทุกประเภท มุ่งเน้นให้ภาคธุรกิจเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี ที่สามารถนำมาใช้ในเรื่องของการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ตลอดจนการเปลี่ยนธุรกิจแบบเดิมเข้าสู่โลกเสมือนราวกับจินตนาการ ซึ่งเครื่องมือที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Big Bang Theory มีหลายส่วนที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เช่น E-Commerce online shopping ที่สามารถเลือกซื้อ ชำระเงิน และจัดส่งให้ถึงบ้าน, การทำ Steaming ในรูปแบบการทำกิจกรรมในโลกออนไลน์บนโลกเสมือนจริงที่ทำง่ายแบบไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์, ในมุมของการทำประชุมออนไลน์ในโลกเสมือนจริง, พร้อมเครื่องมือการสร้างโลกเสมือน ที่ง่ายเหมือนกับคุณนั่งเล่นเกมบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น”
“ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความตั้งใจที่จะผลักดันโลก Metaverse ให้เป็นโลกเสมือนจริง โดยเผยแผนในปีนี้จะมีการขยายแพลตฟอร์มครอบคลุมการให้บริการระบบธุรกิจโลกเสมือนแบบครบวงจร เช่น AR/VR/XR as a Service และการใช้เทคโนโลยี Ai ในด้านต่างๆ เช่น Ai Generative Verse, Ai Virtual Influencer เพื่อตอบโจทย์การเป็นเครื่องมือทางด้าน Marketing Technology (MarTech) ที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย สามารถปรับแต่งได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ยิ่งไปกว่านั้นต้องเข้าถึงในงบประมาณที่ประหยัดย่อมเยา รวมไปถึงการเป็นส่วนหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจในประเทศไทยเข้าใจและเห็นความสำคัญของการใช้โลกเสมือนในการขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทยแบบไร้พรมแดนเพื่อนำไปสู่การทำธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันของ Big Bang ได้แก่
1.การทำ Steaming สามารถนำไปใช้ในแง่ของการจัดทำสัมมนา ฉายภาพยนตร์ ไลฟ์สด และ อื่นๆ ซึ่งการใช้ ฟังก์ชันนี้จะให้ประสบการณ์ เหมือนผู้เข้าร่วมงานได้เข้าไปอยู่ในสถานที่การจัดงานจริง โดยจะมีมุมมองที่ผู้รับชมสามารถชมได้ คือมุมมองของอัตราที่มองบนหน้าจอในโลกเมตาเวิร์ส การStreaming ในเมตาเวิร์สจะมีมุมมอง วิดีโอแบบ full screen ซึ่งเป็นมุมมองที่ผู้ชมคุ้นเคย เหมือนกับรับชมคลิปวิดีโอ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนหน้าจอ
2.E-Commerce online shop ในแง่ของการขายสินค้าออนไลน์ สามารถให้ประสบการณ์การซื้อสินค้าในรูปแบบของโลกเสมือนจริงที่สามารถใช้ได้อย่างง่ายดาย การเลือกสินค้า ชำระเงิน และสามารถรอการจัดส่งได้ที่บ้าน โดยการชำระเงินจะรองรับระบบคิวอาร์โค้ดพร้อมเพย์ และบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตก็สามารถชำระได้ ซึ่งช่องทางการชำระเงินบนเมตาเวิร์สนี้เป็นช่องทางที่ง่ายสะดวกและคุ้นเคยกับผู้ซื้อและผู้ขายก็สามารถอัพโหลดสินค้าได้อย่างง่ายดาย ไม่แตกต่างกับการอัพสต็อกในแอพพลิเคชั่นอีคอมเมิร์ซทั่วไป
3.Private Meeting room เป็นฟังก์ชันการประชุมบนโลกเสมือนที่มีมุมมองเหมือนกับผู้ประชุมเข้าไปอยู่ในห้องนั้นจริง และมีฟังก์ชันย่อยในห้องประชุมที่ไม่แตกต่างกับการประชุมงานในปัจจุบัน เช่น มีช่องแชท สามารถเปิดปิดไมโครโฟนและกล้องได้ พร้อมการแชร์สกรีนของผู้ประชุมได้อย่างง่ายดาย คล้ายกับระบบที่เราคุ้นเคยในการใช้ประชุมออนไลน์
4.Mini Game เป็นฟังก์ชันที่ให้ความบันเทิงกับผู้เข้าร่วมเมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นเกมที่ง่ายและคุ้นเคยกับผู้ใช้ ผู้สร้างเมตาเวิร์ส สามารถกำหนดกติกา เพื่อนำเกมนี้ไปเป็นประโยชน์ และสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าหรือยูสเซอร์ของผู้ที่สร้างเมตาเวิร์ส ซึ่งส่วนนี้อาจจะเป็นฟังก์ชันหนึ่ง ที่ดึงดูดใจให้คนเข้ามาในเมตาเวิร์สของผู้สร้างได้
5.Hologram ฟังก์ชันใหม่สุดล้ำที่จะสร้างโลกแห่งจินตนาการให้เป็นจริงสามารถใช้ในมุมมองของการประชุมประจำปี อาทิ แฟนมิตติ้ง ปราศรัยทางการเมือง โดยลักษณะเด่นของฟังก์ชันนี้คือการฉายภาพเสมือนของผู้พูด หรือวิทยากรในลักษณะเรียลไทม์ ซึ่งข้อดีจะทำให้ผู้ที่เข้ารับฟังและรับชมใกล้ชิดกับผู้พูด หรือวิทยากรได้มากขึ้น
“อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่สามารถประยุกต์ไปใช้กับอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยตลอดจนไปสู่ระดับนานาชาติ และพร้อมเป็นผู้ให้บริการด้านการพัฒนาระบบต่างๆ ในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การบริหาร ในด้านการขยายกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุมและเข้าถึงความต้องการของลูกค้าในรูปแบบออนไลน์ภายใต้การสร้างโลกเสมือนจริง และการสร้างประสบการณ์ด้านเมตาเวิร์สให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายพงศ์วุฒิ กล่าวปิดท้าย
อ้างอิง… https://techsauce.co/